วิธีระบบ
นักการศึกษาเชื่อว่าการนำเอาวิธีระบบมาใช้เป็นแนวในการดำเนินงานใด
ๆ จะช่วยให้การดำเนินงานนั้นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีระบบเป็นกระบวนการคิดและการปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเป็นลำดับ ช่วยป้องกันและแก้ไขข้อผิดพลาดและสามารถตรวจสอบการทำงานได้ทุกขั้นตอน
ความหมายของวิธีระบบ
เปรื่อง กุมุท (2518
: 1) ได้ให้นิยามไว้ว่า
เป็นภาพรวมของโครงสร้างหรือขบวนการอย่างหนึ่งที่มีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง
ๆ ที่รวมกันอยู่ในโครงสร้างหรือขบวนการนั้น
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2520
: 322) ได้อธิบายความหมายคำว่า “ระบบ”ไว้ว่า
เป็นผลรวมของหน่วยย่อยซึ่งทำงานเป็นอิสระจากกัน
แต่มีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
เช่นระบบการศึกษาจะมีองค์ประกอบเป็นหน่วยย่อยลงไปคือการเรียนการสอน การจัดการบริหาร อาคารสถานที่และเครื่องอำนวยความสะดวก ชุมชน และผู้เรียน
องค์ประกอบของวิธีระบบ
โดยทั่วไปวิธีระบบมีองค์ประกอบสำคัญ
3 ประการคือ
1) ข้อมูลป้อนเข้า (input) ได้แก่ วัตถุดิบ ปัญหา ความต้องการ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์
2) กระบวนการ (process) ได้แก่ วิธีการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งอาจเป็นวิธีใดก็ได้
3) ผลลัพธ์ (output) ได้แก่
ผลงานที่ได้มาจากการวางแผนและการดำเนินงาน
องค์ประกอบทั้งสามประการสามารถเขียนเป็นแบบจำลองได้หลายวิธี ดังแผนภูมิต่อไปนี้
แบบจำลองแนวนอน
แบบจำลองแนวตั้ง
การประยุกต์ใช้วิธีระบบกับกระบวนการผลิต การใช้
และการเก็บรักษาสื่อการเรียนการสอน
สามารถทำได้ดังแนวทางต่อไปนี้
การผลิต (Production)
การผลิตสื่อการเรียนการสอน
เป็นขั้นตอนการสร้างสรรค์วัสดุอุปกรณ์หรือวิธีการให้มีคุณภาพดี
ใช้งานได้เหมาะสมกับเนื้อหา
วัตถุประสงค์ และลักษณะธรรมชาติของผู้เรียน
การผลิตสื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบสามารถจำแนกกระบวนการตามแบบจำลองวิธีระบบได้ดังนี้
จากแผนภูมิแสดงกระบวนการผลิตสื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงการวางแผน การดำเนินงานและการตรวจสอบประเมินผลอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้
1. ข้อมูลป้อนเข้า (Input) สิ่งควรนำมาพิจารณาที่เป็นข้อมูลในการผลิตสื่อการเรียนการสอนได้แก่ ปัญหา
วัตถุประสงค์
ความต้องการในการผลิต
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ความสะดวกและความชำนาญด้านเทคนิค
ในขั้นนี้ควรตอบคำถามเพื่อนำไปสู่การป้องกันและการแก้ปัญหาในการผลิตอย่างได้ผลคือ จะผลิตสื่ออะไร สื่อนั้นจะใช้กับเนื้อหาอะไร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร มีความจำเป็นในการผลิตมากน้อยเพียงใด ต้องใช้เวลาในการผลิตมากน้อยเพียงใด สามารถใช้สื่ออื่นทดแทนได้หรือไม่ มีวัสดุอุปกรณ์หรือวัตถุดิบอะไรบ้าง
สื่อที่จะผลิตต้องใช้ความชำนาญด้านเทคนิคสูงเพียงใด
หากจำเป็นต้องใช้เทคนิคสูงจะประสานงานกับผู้ชำนาญการอย่างไร ต้องลงทุนมากน้อยเพียงใด มีความคุ้มค่าในการผลิตหรือไม่
2. กระบวนการ (Process) เป็นขั้นตอนในการลงมือผลิตสื่อการเรียนการสอนตามที่ได้ออกแบบและวางแผนไว้อย่างดีแล้ว
สิ่งจำเป็นในขั้นการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพดีและมีประสิทธิภาพในการใช้งานได้ถูกต้อง ได้แก่
ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา
นักเทคโนโลยีการศึกษา
และช่างเทคนิคเฉพาะทาง เช่น งานช่าง
งานศิลปะแขนงต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม
ประติมากรรม วรรณกรรม นาฏศิลป์
ดนตรี
การออกแบบประยุกต์ศิลป์เช่น การถ่ายภาพนิ่ง การถ่ายภาพวีดิทัศน์ งานหัตถศิลป์
งานออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. ผลลัพธ์ (Output) หมายถึงสื่อการเรียนการสอนที่ได้จากการวางแผนและผลิตขึ้นมาอย่างเป็นระบบ
สื่อการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์เสร็จแล้วควรได้รับการตรวจสอบด้านคุณภาพ เช่น
ความคงทน
ความคล่องตัวในการใช้งานและเก็บรักษา
ด้านประสิทธิภาพในการใช้งาน เช่น
ความเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาวัตถุประสงค์
และการกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์เป็นสำคัญ
หากพบข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งของสื่อที่ผลิตขึ้น สามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Feedback) เพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้สื่อการเรียนการสอนนั้นได้ทุกขั้นตอน
การใช้ (Presentation)
1. ข้อมูลป้อนเข้า (Input) เริ่มจากการเลือก (Selection) ในขั้นนี้ครูผู้สอนต้องมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของเนื้อหาบทเรียน เทคนิควิธีสอน
และธรรมชาติของสื่อการเรียนการสอนแต่ละชนิดเป็นอย่างดี จากนั้นจึงเป็นการเตรียมองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการใช้สื่อการเรียนการสอน
ได้แก่ การเตรียมครูผู้สอน สื่อการเรียนการสอนที่เลือกไว้แล้ว ผู้เรียน
และชั้นเรียน เป็นต้น
2. กระบวนการ (Process) เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วจึงลงมือใช้สื่อการเรียนการสอนตามแผนที่วางไว้อย่างมั่นใจ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างต่อเนื่อง ใช้ได้เหมาะสมกับเวลาไม่ช้าหรือรวดเร็วเกินไป
ไม่ยืนบังสื่อในขณะใช้ประกอบการเรียนการสอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ไม่ควรนำมาแสดงให้ผู้เรียนเห็นก่อนถึงเวลาใช้
เมื่อใช้เสร็จแล้วควรเก็บสื่อให้เรียบร้อยทันที่
3. ผลลัพธ์ (Output) เป็นขั้นการวิเคราะห์ผลการใช้สื่อประกอบการเรียนการสอนว่าได้ผลดีเพียงใด
ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ สิ่งที่ควรพิจารณาในขั้นนี้ได้แก่ คุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ เทคนิคและขั้นตอนในการใช้สื่อของครูผู้สอน
จากแผนภูมิแสดงการใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบแสดงให้เห็นว่าสื่อการสอนให้เกิดประโยชน์และคุณค่ามากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นศักยภาพของสื่อแต่ละชนิด จุดมุ่งหมายของเนื้อหา ความสามารถของผู้เรียน
เทคนิคการสอน และวิธีใช้สื่อการเรียนการสอนของครู การใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบควรมีขั้นตอนดังนี้
จากแผนภูมิแสดงการเก็บรักษาสื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
1. ข้อมูลป้อนเข้า (Input) เป็นขั้นการวางแผนในการเก็บรักษาสื่อการเรียนการสอนที่หลังจากการผลิตและการใช้สื่อการเรียนการสอนนั้นเรียบร้อยแล้ว โดยการพิจารณาวิเคราะห์ปัญหา วัตถุประสงค์
ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษา
2. การดำเนินการ (Process) หลังจากการพิจารณาและวางแผนไว้แล้วก็ดำเนินการเก็บสื่อการเรียนการสอน ซึ่งอาจจำแนกตามรายวิชา จำแนกตามลักษณะของสื่อ เช่น
สื่อ 2 มิติ สื่อ 3 มิติ จำแนกตามคุณสมบัติของสื่อเช่นสื่อวัสดุ สื่ออุปกรณ์
สื่อกิจกรรม เป็นต้น
การวางแผนในการใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
การวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อการเรียนการสอนจะช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์ได้ง่ายขึ้น ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น การวางแผนในการใช้สื่อการเรียนการสอนทำได้หลายวิธี การใช้รูปแบบจำลองที่เรียกว่า The ASSURE model เป็นอีกแบบหนึ่งที่ครูผู้สอนสามารถนำไปเป็นแนวทางได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้
A
nalyze Learner Characteristics การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน
S tate
Objectives การกำหนดวัตถุประสงค์
S elect, Modify, or Design Materials การเลือก
การดัดแปลง หรือการออกแบบใหม่
U tilize
Materials การใช้สื่อ
R equire
Learner Response การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน
E valuation การประเมินผล
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน (Analyze
Learner Characteristics) ผู้เรียนเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของการจัดการศึกษาหรือการเรียนการสอน
ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้แตกต่างกัน การใช้สื่อการเรียนการสอนให้ได้ผลดี ต้องคำนึงถึงธรรมชาติของผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น
วัย เพศ ระดับการศึกษา
สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ
ความเชื่อ การเลือกเนื้อหาบทเรียนและสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนจะช่วยกระตุ้นความสนใจและทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เช่น ผู้เรียนที่มีทักษะในการอ่านต่ำควรใช้ประเภทรูปภาพ ภาพวีดิทัศน์
กิจกรรมต่าง ๆ
แต่ไม่เน้นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ
ตำรา
หรือหากผู้เรียนมีระดับการเรียนรู้ต่างกันมาก
อาจใช้สื่อการเรียนการสอนประเภทบทเรียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอนรายบุคคล เป็นต้น
การกำหนดวัตถุประสงค์ (State Objective) เป็นความต้องการที่ตั้งไว้เพื่อที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากการใช้สื่อการเรียนการสอนหรือกิจกรรมการเรียนการสอน
การกำหนดวัตถุประสงค์แต่ละเนื้อหาบทเรียนควรให้ครอบคลุมการเรียนรู้ด้านต่าง
ๆ ต่อไปนี้
2.1 ด้านสมอง หมายถึงการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เนื้อหาบทเรียนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความจำ
ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์
การสังเคราะห์ การตัดสิน
2.2 ด้านจิตใจ หมายถึงการกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อเนื้อหาบทเรียน เช่น
ความชอบ ซาบซึ้ง การเห็นคุณค่า
การรู้จักลำดับคุณค่า
การยึดมั่นในคุณค่า
2.3 ด้านทักษะหรือความชำนาญ
หมายถึงการกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทั้งด้านการใช้สมองและความรู้สึกอย่างคล่องแคล่ว
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์สูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์
ดังนั้นการใช้สื่อการเรียนการสอนจึงควรกระทำเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะโดยการเลียนแบบ การทำได้ด้วยตนเอง การทำได้อย่างแม่นยำ การทำได้อย่างละมุนละม่อม การทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แนวทางในการกำกับให้การเรียนรู้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ควรมีข้อกำหนดดังนี้
1. การกระทำ (Performance) เป็นข้อกำหนดพฤติกรรมของผู้เรียนที่คาดว่าผู้เรียนจะสามารถทำอะไรได้บ้างภายหลังจากการเรียนแล้ว
2. เงื่อนไข
(Conditions) เป็นวิธีการหรือข้อกำหนดที่ใช้ในการจูงใจ
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
3. เกณฑ์
(Criteria) เป็นมาตรการหรือข้อกำหนดในการวัดว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามเกณฑ์นั้นหรือไม่
การเลือก ดัดแปลง
หรือออกแบบสื่อ (Select,
Modify, or Design Materials) การที่จะได้สื่อที่เหมาะสมมาใช้ประกอบการเรียนการสอนสามารถทำได้
3 วิธี คือ
1. การเลือก
หมายถึงการเลือกสื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่แล้วให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน การเลือกสื่อให้ได้ผลดีควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ลักษณะของผู้เรียน
จุดมุ่งหมายของบทเรียน วิธีสอน ข้อจำกัดเฉพาะของสื่อแต่ละชนิด เช่น
ความบอบบาง
ความยุ่งยากสลับซับซ้อนในการใช้งาน
ความปลอดภัย
ขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไป เป็นต้น
2. การดัดแปลง หมายถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับเนื้อหา
วิธีสอน วัตถุประสงค์
และลักษณะของผู้เรียน เช่น
การตัดต่อสื่อภาพวีดิทัศน์
การเรียงภาพสไลด์ใหม่
การรวมภาพจากโปรแกรมพาวเวอร์พอยท์หลาย ๆ เรื่องเป็นเรื่องใหม่ การดัดแปลงสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพควรพิจารณาข้อจำกัดต่าง
ๆ เช่น
ความยุ่งยากทางเทคนิค
คุณสมบัติของวัสดุ การเปรียบเทียบคุณค่าหรือประโยชน์ของสื่อที่ถูกดัดแปลงหับสื่อเดิม
3. การผลิต
เป็นวิธีสุดท้ายหลังจากครูผู้สอนไม่สามารถเลือกหรือดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้วได้ การผลิตสื่อการเรียนการสอนให้ได้ผลดีมีปัจจัยต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลักษณะของเนื้อหาบทเรียน จุดมุ่งหมายของบทเรียน ลักษณะของผู้เรียน ค่าใช้จ่าย
ความชำนาญด้านเทคนิคเฉพาะ เวลา
ความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต
4. การใช้สื่อ เป็นขั้นการแสดงสื่อประกอบการเรียนการสอนจริง
ซึ่งครูผู้สอนต้องใช้เทคนิคและหลักการให้ดีที่สุด
เช่น
ใช้สื่อตามแผนที่เตรียมไว้
ขณะใช้สื่อต้องหันหน้าเข้าหาผู้เรียนเสมอ ใช้อย่างต่อเนื่องและคล่องแคล่ว ไม่ใช้เวลานานหรือเร็วเกินไป ใช้สื่อเมื่อถึงเวลาเท่านั้น ไม่ยืนบังในขณะใช้สื่อ การชี้สื่อควรใช้วัสดุไม่ควรใช้นิ้วมือชี้ ต้องเตรียมติดตั้งสื่อไว้ล่วงหน้า
จัดสภาพแวดล้อมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้เรียบร้อย สื่อประเภทกิจกรรมต้องให้ผู้เรียนมีโอกาสร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง กำหนดกิจกรรมต่อเนื่องเช่นการศึกษาค้นคว้า
การอภิปราย การจัดป้ายนิเทศ เป็นต้น
การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน (Require Learner Response) กระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองต่อสื่อและเนื้อหาบทเรียน
การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียนขึ้นอยู่กับชนิดของสื่อและวัตถุประสงค์ของเนื้อหาบทเรียน เช่น
ก่อนให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์ครูผู้สอนควรเล่าเค้าโครงเรื่องอย่างย่อ ๆ
และกำหนดปัญหาเพื่อการตอบสนองของผู้เรียนเป็นช่วง ๆ
หรืออาจให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์จนจบแล้วอภิปรายในภายหลังก็ได้ ส่วนการใช้สื่อสิ่งพิมพ์จำพวกหนังสือ
อาจให้ผู้เรียนอภิปรายได้ทันทีเมื่ออ่านจบหรือกำหนดให้ทำกิจกรรมต่อเนื่องเช่นการจัดป้ายนิเทศ การจัดนิทรรศการ การทายปัญหา
เป็นต้น ไม่ว่าจะกำหนดการตอบสนองของผู้เรียนเป็นรูปแบบใด ครูผู้สอนต้องให้การเสริมแรงทันทีทันใดเสมอ
การประเมิน (Evaluation)
การประเมินการใช้สื่อการเรียนการสอนสามารถทำได้
3 ลักษณะ
คือ
1. การประเมินกระบวนการสอน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด
องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสอน ได้แก่ ครูผู้สอน สื่อการเรียนการสอน ผู้เรียน
เนื้อหาบทเรียน และวิธีสอน
การประเมินสามารถทำได้ทั้งก่อนสอน
ระหว่างสอน และหลังการสอน
2. การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเรียนรู้มากน้อยเพียงใด อาจทำได้ด้วยการสังเกตความสนใจ การทดสอบ
การตอบปากเปล่า
การตรวจผลงานของผู้เรียน
เป็นต้น
3. การประเมินสื่อและวิธีการสอน
การประเมินสื่อควรพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพของสื่อได้แก่ความคล่องตัว ความแข็งแรง
และประสิทธิภาพในการใช้งานทีสามารถดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนวิธีสอนประเมินความเหมาะสมของวิธีสอน
และเนื้อหาว่าสอดคล้องกับสื่อการเรียนการสอนเพียงใด
ซึ่งอาจให้ผู้เรียนวิจารณ์หรืออภิปรายถึงเทคนิควิธีสอนและการใช้สื่อการเรียนการสอนว่าเหมาะสมหรือไม่มากน้อยเพียงใด
การจัดระบบการเรียนการสอน
เกอร์ลัคและอีลี (Gerlack &
Ely, 1971 : 13 – 29) ได้เสนอแบบของการจัดระบบการสอนแบบหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบ 10
ประการ ดังนี้
1.
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ต้องเป็นจุดมุ่งหมายที่สามารถวัดหรือสังเกตการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียนได้
2.
การกำหนดเนื้อหา
โดยทั่วไปการกำหนดเนื้อหาต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายธรรม ชาติของผู้เรียน สภาพสังคมและท้องถิ่น ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้จริง
3.
การพิจารณาพื้นฐานเดิมของผู้เรียน
ก่อนทำการสอนผู้สอนต้องรู้พื้นฐานเดิม
ความสนใจ ความถนัดและความพร้อมของผู้เรียนโดยวิธีต่าง
ๆ เช่น
การใช้ระเบียนสะสมเป็นบันทึกประจำตัวของผู้เรียนแต่ละคน การใช้ข้อสอบเพื่อทดสอบความสามารถของผู้เรียนก่อนที่จะเรียน
4.
การเลือกวิธีสอน
เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ ควรพิจารณาแนวทางในการเลือกวิธีสอนดังนี้คือ
การบรรลุจุดมุ่งหมายโดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เกิดจากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว การบรรลุจุดมุ่งหมายโดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เกิดขึ้น ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
การบรรลุจุดมุ่งหมายโดยให้ผู้เรียนทำงานเองตามลำพัง
5.
การจัดกลุ่มผู้เรียน
การจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีสอนและสื่อการสอน อาจแบ่งได้เป็น 3
กลุ่มคือ กลุ่มใหญ่ จำนวนตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป
ลักษณะการสอนเป็นแบบบรรยาย
การกำหนดกิจกรรมเป็นกลุ่ม
สื่อการสอนควรใช้เครื่องขยายเสียง
สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์
วิทยุกระจายเสียง เป็นต้น กลุ่มย่อย
ตั้งแต่ 30 – 50 คน ลักษณะการสอนเป็นแบบบรรยาย การสาธิต
การทดลอง การอภิปราย ศูนย์การเรียน
เป็นต้น
การเรียนเป็นรายบุคคล
เป็นการส่งเสริมการเรียนด้วยตนเอง
โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป
ชุดการเรียนรายบุคคล
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นต้น
6.
การกำหนดเวลา
การใช้เวลาในการสอนขึ้นอยู่กับส่วนประกอบอื่น ๆ ของระบบ เช่น
จุดมุ่งหมายของการสอน เนื้อหาบทเรียน พื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียน วิธีสอน
ขนาดของกลุ่มผู้เรียนและอื่น ๆ อีก
7.
การกำหนดสถานที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น